วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

















































































































































































































































































































































































































































































































Service Profile (ปีงบประมาณ 2553)
แผนกเภสัชกรรม รพ.รร.จปร
1. บริบท (Context)
ก. หน้าที่และเป้าหมาย
หน้าที่
§ จัดหายา เวชภัณฑ์ ที่มีคุณภาพ ส่งมอบและดูแลผู้รับบริการ ได้แก่ กำลังพลทหารและครอบครัว ตลอดจนพลเรือนทั่วไป ที่มาเข้ารับบริการตลอด 24 ชั่วโมง ให้ใช้ยาได้อย่างถูกต้อง ปลอดภัย เหมาะสม และพึงพอใจ
§ พัฒนางานจัดหา สป.สายแพทย์ (สิ้นเปลือง และถาวร) ที่มีคุณภาพ มาตรฐาน ทันเวลา
§ ให้บริการข้อมูลข่าวสารด้านยาให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป
เป้าหมาย
ผู้ป่วยและญาติได้รับบริการทางเภสัชกรรมที่ถูกต้อง ปลอดภัย เหมาะสม รวดเร็ว และมีความพึงพอใจ หน่วยงานต่างๆของ รพ. ได้รับการสนับสนุนทางยา-เวชภัณฑ์-สป.ถาวร-สิ้นเปลืองสายแพทย์ ถูกต้อง พอเพียง ทันเวลา เจ้าหน้าที่ในแผนกเภสัชกรรมได้รับการพัฒนาศักยภาพอย่างต่อเนื่องในความรู้เกี่ยวกับยา และทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข
ข. ขอบเขตการให้บริการ ศักยภาพ ข้อจำกัด
§ บริการจ่ายยาแก่กำลังพล และครอบครัว ตลอดจนพลเรือนทั่วไปที่มาเข้ารับบริการตลอด 24 ชม.
§ ให้บริการข้อมูล ข่าวสารด้านยาแก่บุคลากรทางการแพทย์ ผู้ป่วย และประชาชนทั่วไป
§ จ่ายยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนภารกิจ รร.จปรและทุกภารกิจของนนร.
ศักยภาพ
1) การให้บริการจ่ายยาได้ 24 ชั่วโมง
2) สามารถจัดยา & จ่ายยาทดแทนกันได้
3) มีระบบการสั่งยา และพิมพ์ฉลากยาด้วยระบบคอมพิวเตอร์ และมีรายละเอียดของข้อมูลในการใช้ยาข้อมูลแพ้ยา หรือข้อควรระวัง
ข้อจำกัด
1. การปฏิบัติงาน
- งานบางอย่างที่ต้องใช้ความรู้ และความชำนาญของแต่ละบุคคลนั้น ยังไม่
สามารถที่จะปฏิบัติงานทดแทนกันได้อย่างสมบูรณ์ เช่น การให้ข้อมูลการใช้ยาเทคนิคพิเศษ
2. บุคลากร
- เภสัชกรมีน้อยเกินไปอาจทำให้การทำงานบางส่วนดูแลได้ไม่ทั่วถึง เช่น งานบริบาลทางเภสัชกรรมบนหอผู้ป่วย
3. เครื่องมือ
- ปัญหาจากระบบคอมพิวเตอร์ในบางขณะส่งผลให้การให้บริการผู้ป่วยล่าช้าออกไป เช่น เครื่อง error โปรแกรมยังไม่สมบูรณ์แบบทำให้งานด้านธุรการยังล่าช้า
ค. ผู้รับผลงาน และความต้องการที่สำคัญ
ลูกค้าภายนอก และลูกค้าภายใน
§ ได้รับยาถูกต้อง ปลอดภัย และเหมาะสมตรงตามแผนการรักษาของแพทย์
§ ได้รับคำแนะนำการใช้ยาอย่างถูกต้อง รวมไปถึงคำแนะนำการใช้ยาที่มีเทคนิคพิเศษ
§ ได้รับข้อมูล ข่าวสารด้านยาที่ถูกต้อง ทันสมัย และเชื่อถือได้ สามารถนำข้อมูลไปใช้ให้เกิดประโยชน์ ในการดูแลสุขภาพของผู้มารับบริการ และบุคคลใกล้ชิด
§ ได้รับความร่วมมือ และการอำนวยความสะดวกจากทุกแผนก
ง. ประเด็นคุณภาพที่สำคัญ
1) การ จัดซื้อจัดหายา และเวชภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม และจำนวนอัตราส่วนยานอกบัญชี/ในบัญชี ไม่เกินที่กำหนดไว้
2) การให้บริการด้านการจัดยา - จ่ายยาที่ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัยแก่ผู้มารับบริการ
3) การใช้เวลาในการให้บริการด้านการจัดยา – จ่ายยาที่เหมาะสม
4) ป้องกัน และแก้ไขปัญหาที่เกี่ยวกับการใช้ยาของผู้มารับบริการ และแจ้งแก่ผู้ที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ
5) พัฒนาโปรแกรม computer ในข้อมูลด้านยาเพิ่มขึ้น เช่น monograph ยา , drugs interaction , การ block การแพ้ยาซ้ำของผู้ป่วยที่รัดกุมมากขึ้น
6) พัฒนาระบบศักยภาพความรู้ด้านยาแก่เจ้าหน้าที่เภสัชกรรม
จ. ความท้าทาย ความเสี่ยงสำคัญ จุดเน้นในการพัฒนา
§ การจัดยาผิดคน,ชื่อยา, ชนิด,ขนาด,จำนวน,วิธีใช้
§ การจ่ายยาผิดคน,ชื่อยา,ชนิด,ขนาด,จำนวน,วิธีใช้
§ ผู้ป่วยไม่เข้าใจในคำแนะนำในการบริหารยาทำให้บริหารยาผิดวิธี
§ ผู้ป่วยได้รับบริการที่ล่าช้า
§ ผู้ป่วยได้รับยาที่หมดอายุ หรือเสื่อมสภาพ
§ ปริมาณยาที่สำรองในคลังไม่เพียงพอต่อการจ่าย
§ การป้องกันการแพ้ยาซ้ำของผู้ป่วย
§ พัฒนาความปลอดภัยด้านยาในหอผู้ป่วยใน(med reconciliation)
ฉ. ปริมาณงานและทรัพยากร ( คน เทคโนโลยี เครื่องมือ)
1) เภสัชกร 2 คน, เจ้าหน้าที่ 6 คน
2) บริการจัดยา-จ่ายยาได้ 24 ชม. มีห้องจ่ายยา ผู้ป่วยนอก-ใน ห้องเดียวกัน มีหอผู้ป่วย 1 หอ
3) มีระบบการสั่งยา และพิมพ์ฉลากยาด้วยระบบคอมพิวเตอร์และมีรายละเอียดของข้อมูลในการใช้ยา ข้อมูลการแพ้ยาของผู้ป่วย
4) มีระบบการเบิกบาผู้ป่วยในเป็น Daily dose (One day dose)
5) งานตรวจสอบยาสำรองหอผู้ป่วย, ER, OR, ห้องไตเทียม, ห้องฝังเข็ม 3 เดือน/ครั้ง

2. กระบวนการสำคัญ (Key Process)

กระบวนการสำคัญ
สิ่งที่คาดหวัง
ความเสี่ยงที่สำคัญ
ตัวชี้วัดที่สำคัญ
1. การคัดเลือก จัดซื้อจัดหายา และเวชภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ราคาเหมาะสม และเพียงพอต่อการใช้













- การสุ่มตรวจเช็คปริมาณยาคงคลังอย่างสม่ำเสมอ







- ยา หรือเวชภัณฑ์ที่ผู้ป่วย/หน่วยเบิกต่างๆ ได้รับมีคุณภาพดี



-อัตราการสำรองยาไม่มากเกิน 3 เท่า มียาเพียงพอต่อการใช้ สภาพการเงินคล่อง

- ปริมาณยา หรือเวชภัณฑ์ที่สำรองในคงคลังไม่เพียงพอต่อการให้บริการผู้ป่วย/หน่วยเบิกต่างๆ





- ยาเสื่อมสภาพ/ยาหมดอายุ





- ยา stock มากเกิน ขาดสภาพคล่องทางการเงิน

1.1) จำนวนรายการยา หรือเวชภัณฑ์ที่ค้างจ่ายแก่ผู้ป่วย/หน่วยเบิกต่างๆ (ขาด stock)
ในกรณีอัตราการใช้ปกติไม่เกิน 100,000 บาท/bill/เดือน
ไม่เกิน 5 รายการ/เดือน
1.2) ร้อยละยาช่วยชีวิตขาดชั่วคราว ไม่เกิน 1 รายการ/เดือน
1.3) จำนวนผู้ป่วยที่แจ้งการได้รับยาที่เสื่อมสภาพ/ยาหมดอายุ=0
1.4) จำนวนรายการยาหมดอายุ หรือเสื่อมสภาพในคลังยาไม่เกิน 10 รายการ/ปี
1.5) อัตราการสำรองยา สิ้นปีงบประมาณไม่เกิน 3 เท่าของต้นทุนขายเฉลี่ยต่อเดือน
2. การให้บริการด้านการจ่ายยา
– จ่ายยาที่ถูกต้อง รวดเร็ว เหมาะสม และปลอดภัยแก่ผู้มารับบริการ





- การจัดยา และจ่ายยาถูกต้อง ตรงตามใบสั่งแพทย์


- ความรวดเร็วในการบริการและความพึงพอใจในการรอรับบริการ

- ผู้ป่วยได้รับคำแนะนำในการบริหารยาที่ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย
- การจัดยา และจ่ายยาผิดคน, ชื่อยา, ชนิด, ขนาด, จำนวน และวิธีใช้

- ผู้ป่วยไม่พอใจในการรอคอยนาน


- ผู้ป่วยใช้ยาไม่ถูกต้องตามแพทย์สั่งและไม่ได้รับการแก้ไข DRP
2.1) จำนวนรายงานMedication error
I. Pre-dispensing error
II. Dispensing error
2.2) อัตราความพึงพอใจ; ผู้ป่วยอยู่ในระดับมาก >50%
2.3) ระยะเวลารอรับยา < name="OLE_LINK2">ที่พบจากกระบวนการก่อนจัดจ่ายยาผู้ป่วยนอก OPD พบ 242 ครั้ง และไม่พบความคลาดเคลื่อนในระดับความรุนแรง ความคลาดเคลื่อนทั้งหมดจัดอยู่ในระดับ B = 242 ครั้ง เพราะยังไม่ถึงตัวผู้ป่วย คิดเป็น 6.25 ครั้ง/พันใบสั่งยา ซึ่งเกณฑ์ที่ตั้งไว้ Predispensing error OPD <> 50% ผลลัพธ์ (64.16%)
กราฟแสดงอัตราความพึงพอใจของผู้ป่วย (ต.ค.2552)

2.3) ระยะเวลารอรับยา < b =" 299" b =" 171" c =" 12" drugs=" 0">

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2553

Guildline วิธีการใช้ยาฉีดอินซูลินแบบฉีด

แผนกเภสัชกรรม รพ.รร.จปร.
Guildline
วิธีการใช้ยาอินซูลินแบบปากกา


Levemir® Flexpen, Novomix® 30 Penfill, MixtardHM® 70/30 Penfill, HR (Novorapid), HN (Insulatard Penfill)


ยาอินซูลินชนิดฉีด
ยาอินซูลินชนิดฉีดเป็นเภสัชภัณฑ์ที่มีลักษณัเป็นของเหลว ผ่านการทำให้ปราศจากเชื้อแล้ว ใช้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวาน ผู้ป่วยสามารถฉีดยาอินซูลินเข้าสู่ร่างกายได้ด้วยตัวเองโดยอาศัยชุดอุปกรณ์สำหรับฉีดยาอินซูลิน ประกอบด้วย ยาฉีดอินซูลินบรรจุอยู่ในกระบอกยา ปากกาสำหรับให้ยาอินซูลิน และหัวเข็มฉีดยา


การบรรจุหลอดอินซูลิน
§ ถอดปลอกปากกาออก แล้วคลายเกลียวเพื่อถอดส่วนกระบอกบรรจุ penfill ออก
§ ทำความสะอาดส่วนแผ่นยางของ penfill ด้วยสำลีชุบแอลกอฮอล์ แล้วบรรจุลงในกระบอก
§ หมุนวงแหวนตามเข็มนาฬิกาให้ก้านลูกสูบกลับเข้ามาจนสุด
§ ประกอบส่วนของกระบอกบรรจุ penfill กลับเข้าตัวด้ามปากกา แล้วขันเกลียวให้แน่น


การใส่หัวเข็มฉีดอินซูลิน

§ ลอกแผ่นผนึกออก
§ สวมเข็มเข้ากับปลายปากกาด้านที่มีแผ่นยางแล้วขันเกลียวให้แน่น
§ ดึงปลอกนอกออก



การตั้งขนาดยา
Ø หมุนวงแหวนปรับขนาดยาให้ได้ตามที่ต้องการ
Ø ถ้าท่านใช้อินซูลินออกฤทธิ์ปานกลาง(น้ำขุ่น) โปรดเขย่าอย่างช้าๆ อย่างน้อย 1 ครั้ง ลูกแก้วจะช่วยให้ยากระจายยาตัวสม่ำเสมอ ถอดปลอกในออก และพร้อมสำหรับขั้นตอนการฉีดยา


การเลือกตำแหน่งฉีดยาอินซูลิน
ลำดับการดูดซึมยา จากมากไปหาน้อย ดังนี้
หน้าท้อง -> ต้นแขน -> ต้นขา


การฉีดยาอินซูลิน
§ ทำความสะอาดตำแหน่งที่จะฉีดยาด้วยแอลกอฮอล์
§ แทงเข็มฉีดยาเข้าใต้ผิวหนัง กดปุ่มฉีดยาที่ปลายปากกาจนสุด และจับหัวเข็มให้ตั้งฉาก (90 องศา) กับบริเวณผิวหนังที่จะฉีด
§ หลังจากฉีดเสร็จแล้ว ให้สวมปลอกนอกหัวเข็มแล้วบิดหัวเข็มทิ้งลงในถุงที่ปลอดภัย


วิธีตรวจสอบขนาดยา
1. ในบางครั้งอาจมีฟองอากาศเหลือค้างอยู่ในหัวเข็ม และเพ็นฟิลล์ ควรไล่ฟองอากาศทิ้งก่อนการฉีดยาทุกครั้ง
2. ถ้าอินซูลินชนิดออกฤทธิ์นาน (น้ำขุ่น) ควรเขย่าซ้ำๆ ประมาณ 10 ครั้งก่อนการใช้
3. สามารถตรวจสอบการทำงานของปากกาได้โดยตั้งปริมาณอินซูลินไว้ที่ตำแหน่ง 20 ยูนิต แล้วฉีดน้ำยาใส่ปลอกนอกเข็มจะได้ปริมาณของยาในระดับที่กำหนด
4. ถ้าท่านตั้งปริมาณอินซูลินที่จะฉีดผิด ให้ท่านดึงส่วนกระบอกที่ใช้บรรจุอินซูลินและตัวด้ามด้านบนให้แยกออกจากกัน ค้างเอาไว้ กดปุ่มฉีดยาจนสุดแล้วปล่อยกระบอกและตัวด้ามคืนตำแหน่งเดิม จากนั้นจึงตั้งปริมาณอินซูลินที่ท่นต้องการใหม่อีกครั้ง


ข้อแนะนำในการฉีดยา
1. ไม่ควรฉีดยาซ้ำตำแหน่งเดิมทุกวัน
2. ตำแหน่งที่ฉีดใหม่ควรมีระยะห่างจากครั้งหลังสุดประมาณ 1 นิ้ว
3. ไม่ควรใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน เพราะอาจทำให้ติดเชื้อโรคจากผู้อื่นได้
4. ก่อนฉีดยาแต่ละครั้ง ควรสังเกตปริมาณของยาที่เหลืออยู่อย่างคร่าวๆก่อน ว่าเพียงพอกับที่ท่านต้องการหรือไม่ ถ้าเพียงพอก็สามารถปฏิบัติตามขั้นตอนในการฉีดยาตามปกติได้เลย หากไม่เพียงพอท่านอาจเปลี่ยนเพ็นฟิลล์ใหม่
ข้อดีของการใช้ยาอินซูลินแบบปากกา
1. ใช้ง่าย ขนาดถูกต้อง พกพาสะดวก
2. ฉีดได้สูงสุด 70 ยูนิตต่อการฉีด 1 ครั้ง
3. ไม่ต้องเปลี่ยนหลอดยาบ่อย ไม่ต้องแช่เย็น
4. หัวเข็มเล็กทำให้ลดการเจ็บปวด


เอกสารอ้างอิง
1. จิตติมา มานะกิจ, รูปแบบยา และวิธีการใช้ยารูปแบบต่างๆ. ใน: อรลักษณา แพรัตกุล, บรรณาธิการ. รอบรู้เรื่องยาและผลิตภัณฑ์สุขภาพ. กรุงเทพฯ: สันติศิริการพิมพ์. 2550: 39-41.
2. คู่มือการใช้ปากากา Novopen บริษัท โนโว นอร์ดิสค์ ฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด




ยาฉีดอินซูลินรุ่นเก่า


การเตรียมยาฉีดและการฉีดยาอินซูลิน
ขั้นตอนในการฉีดอินซูลิน
1. ล้างมือให้สะอาดแล้วเช็ดให้แห้ง ก่อนการฉีดยาอินซูลินทุกครั้ง


2. คลึงขวดยาอินซูลินไปมาในฝ่ามือทั้งสองข้าง กรณีใช้ยาชนิดขุ่นเพื่อให้ยาผสม
เป็นเนื้อเดียวกัน อย่าเขย่าขวดยาอินซูลิน เนื่องจากทำ ให้เกิดฟองอากาศและ
อินซูลินเกาะติดบริเวณจุกยางของขวด (ชนิดใสไม่ต้องคลึง)



3. ใช้สำ ลีชุบแอลกอฮอล์ เช็ดจุกยางของขวดยาอินซูลิน




4. ดูดลมเข้ามาในหลอดฉีดยาให้มี จำ นวนเท่ากับปริมาณยาที่จะต้องใช้



5. แทงเข็มฉีดยาให้ผ่านเข้าไปขวดยาแล้ว ดันอากาศเข้าไปในขวด
การใส่ลมในขวดนี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิด สูญญากาศในขวดอินซูลิน
ซึ่งอาจทำ ให้มีแรงดึงดูดให้ยาที่ดูดไว้ แล้วถูกดึงกลับไปในขวด


6. ควํ่าขวดยาลงแล้วค่อยๆดูดยาอินซูลิน
เข้าหลอดฉีดยาในปริมาณที่ต้องการ

7.ตรวจดูว่ามีฟองอากาศอยู่หรือไม่ ถ้าหากมีฟองอากาศขนาดใหญ่ อาจทำ ให้มีผลต่อ
ขนาดอินซูลิน ให้ฉีดยาเข้าไปในขวดใหม่ แล้วดูดกลับเข้ามาช้าๆ จนได้ปริมาณที่
ต้องการ อย่างไรก็ตามฟองอากาศเล็กน้อย ไม่มีอันตรายในการฉีด
8.ตรวจดูขนาดของอินซูลินให้แน่ใจอีกครั้ง


กรณีที่ฉีดยาผสมสองชนิดคือ ชนิดออกฤทธิ์สั้น (นํ้าใส) และชนิดออกฤทธิ์ยาว (นํ้าขุ่น)



1.ใช้สำลีชุบแอลกอฮอล์เช็ดจุกยางของขวดอินซูลินทั้งสองขวด




2.ดูดลมเข้ามาในหลอดฉีดยาให้มีจำ นวนเท่ากับปริมาณยานํ้าขุ่นที่จะต้องการ
แล้วฉีดลมเข้าไปในขวดอินซูลินชนิดขุ่น อย่าเพิ่งดูดยา



3.ดูดลมเข้ามาในหลอดฉีดยานํ้าใสให้มีจำ นวนเท่ากับปริมาณยานํ้าใสที่จะต้องการแล้วฉีดลมเข้าไปในขวดอินซูลินเข้าหลอดฉีดยาในปริมาณที่ต้องการ



4.ดูดอินซูลินนํ้าใสออกมาเท่ากับปริมาณที่ต้องการ





5. กลับมาดูดอินซูลินชนิดนํ้าขุ่นที่ต้องการ แล้วนำไปฉีดทันที



***ระวัง ถ้าโดยอุบัติเหตุดูดอินซูลินนํ้าขุ่นมากกว่าปกติ ห้ามดันยากลับเข้าไปในขวด แต่ให้ทิ้งอินซูลินและเริ่มดูดยาทั้งสองชนิดใหม่ หลังจากได้บรรจุยาอินซูลินในหลอดฉีดยาแล้ว ควรรอให้อุณหภูมิของอินซูลินเท่ากับอุณหภูมิห้องก่อน***




การฉีดยาเข้าไปในบริเวณที่ต้องการควรปฎิบัติดังนี้

1.ใช้สำ ลีชุบแอลกอฮอล์ทำ ความสะอาดผิวหนัง บริเวณที่ฉีดยา





2.ใช้มือข้างหนึ่งดึงผิวหนังบริเวณที่จะฉีดยกให้สูงขึ้นเป็นลำ แล้วแทงเข็มฉีดยาเข้าไปให้ตรงให้ ตั้งฉากกับผิวเข้าชั้นใต้ผิวหนังให้มิดเข็ม



3.กดลูกสูบดันยาลงไปให้สุดจนหมด




4.ถอนเข็มฉีดยาออก ใช้สำ ลีกดตำ แหน่งที่ฉีดยาไว้ชั่วขณะ ถ้ามีเลือดออกหรือรู้สึกปวดหรือมีนํ้าใสไหลออกมา ไม่ควรคลึงหรือนวดบริเวณที่ฉีดยา เพราะอาจทำ ให้การดูดซึมเร็วขึ้นกว่าปกติได้


***เข็มฉีดยาใช้แล้วทิ้ง หรือเก็บไว้ใช้ได้อีก 2-3 วัน โดยสวมปลอก นำ ไปไว้ในตู้เย็น และนำ
มาใช้ได้อีก (อย่านำ เข็มไปล้าง หรือเช็ด)

ธรรมชาติบำบัด


อธิชา วิยาภรณ์
ความรู้พื้นฐานสำหรับการเลือกใช้สมุนไพร เพื่อการบำบัดรักษาตนเองเบื้องต้น
ยาสมุนไพร
หมายถึง ยาที่ได้จากพฤกษชาติ สัตว์ หรือแร่ธาตุ ซึ่งยังมิได้ผสม ปรุง หรือแปรสภาพ
อาหารเป็นพิษ (Food poisoning)
หมายถึง อาการท้องเดินเนื่องจากการกินอาหารที่มีสารพิษปนเปื้อน โดยอาจเป็นสารพิษจากจุลชีพ พืชพิษ (เช่น เห็ดพิษ) หรือสารเคมี (เช่น ยาฆ่าแมลง) ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดจากพิษของแบคทีเรียสกุล Straphyllococcus, Streptococcus, Salmonella, และ Clostridium เป็นต้น ผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้อง อาเจียน ถ่ายเป็นน้ำบ่อยครั้ง ซึ่งอาจรุนแรงจนเกิดภาวะขาดน้ำ และเป็นอันตรายได้ ในกรณีที่เกิดจากสารเคมี หรือพิษบางชนิดอาจเกิดพิษต่อระบบประสาท เช่น ชัก หมดสติ รูม่านตาหดเล็ก เป็นต้น อาจรุนแรงถึงขั้นตายได้ หรือมีการปนเปื้อนมาจากแหล่งผลิตเดียวกัน และจะมีอาการดังกล่าวแสดงพร้อมกันหลายคน โดยจะมีอาการมากหรือน้อยแตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคลและปริมาณสารพิษที่ได้รับ
การรักษา
โดยทั่วไปให้การรักษาแบบอาการท้องเดิน เมื่อวารพิษหมดจากร่างกายแล้วคนไข้จะค่อยๆ ดีจึ้นจนหายได้เอง ถ้ามีอาการถ่ายท้องหรืออาเจียนรุนแรง หรือมีภาวะขาดน้ำ ควรรีบนำคนไข้ส่งโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำ ไม่จำเป็นต้องให้ยาปฏิชีวนะ เพราะเชื้อจุลชีพไม่ใช่สาเหตุของอาการที่แท้จริง หรือถ้ามีอาการชัก หมดสติ หรือสงสัยว่าเกิดจากยาฆ่าแมลง สารตะกั่ว หรืออื่นๆ ควรให้น้ำเกลือเพื่อทดแทนน้ำ แล้วรีบส่งโรงพยาบาลด่วน มักต้องทำการล้างท้อง และให้ยาต้านพิษด้วย
การดูแลผู้ป่วยเบื้องต้น
ผู้ป่วยที่มีอาการอาหารเป็นพิษควรให้งดรับประทานอาหารที่มีรสจัด และให้รับประทานอาหารอ่อน เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ไม่ควรให้รับประทานนม เพราะโปรตีนในนมนั้นถูกย่อยยาก จะทำให้ท้องอืด แน่นท้อง หรืออาจทำให้มีอาการถ่ายเหลวมากยิ่งขึ้น และควรทดแทนการสูญเสียน้ำด้วยการจิบน้ำเกลือแร่ ซึ่งมีจำหน่ายเป็นซองบรรจุเสร็จ หรือสามารถเตรียมเองได้ โดยใช้น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ เกลือป่นครึ่งช้อนชา และน้ำสะอาด 1 ขวดน้ำปลา ต้มให้เดือดสักครู่ ทิ้งให้เย็น จิบบ่อยๆ แทนน้ำ

การรักษาด้วยสมุนไพร
สมุนไพรที่มีฤทธิ์แก้ท้องเสีย ได้แก่ ชา กล้วยน้ำหว้า ทับทิม สีเสียดเหนือ มังคุด และฝรั่ง ซึ่งมีสารกลุ่มแทนนิน รวมทั้งฟ้าทะลายโจรซึ่งมี andrographolide และขมิ้นชันซึ่งมีน้ำมันหอมระเหยเป็นสารสำคัญที่มีฤทธิ์แก้ท้องเสีย สมุนไพรเหล่านี้สามารถหารับประทานได้ง่าย และบางชนิดระบุอยู่ในสมุนไพรสาธารณสุขมูลฐาน สารกลุ่มแทนนินสามารถระงับอาการท้องเสียได้ดี เนื่องจากอาการท้องเสียเกิดจากเนื้อเยื่อที่ผนังลำไส้ใหญ่ถูกทำให้ระคายเคืองจากสารอาหารรสจัด สารเคมีบางชนิด หรือพิษของเชื้อโรค จึงทำให้ลำไส้ใหญ่บีบตัวมากกว่าปกติ และเกิดการถ่ายอุจจาระบ่อยครั้ง ดังนั้น สารกลุ่มแทนนินจึงมีรสฝาดและมีฤทธิ์ฝาดสมาน (astringent) เมื่อสัมผัสกับผนังลำไส้ใหญ่จะรวมตัวกับโปรตีนที่เนื้อเยื่อบุผิว แล้วสามารถเปลี่ยนเป็นสารที่สามารถทำลายโปรตีนของจุลชีพได้ และทำให้จุลชีพตาย
ควรระวังการใช้สมุนไพรที่มีแทนนินเป็นพิเศษในผู้ที่มีแผลในกระเพาะอาหาร เพราะแทนนินอาจถูกดูดซึมเข้าร่างกายในปริมาณมาก และมีผลเสียต่อตับได้
***สำหรับโรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ของเรามียาสมุนไพร 2 ตัว ที่จัดอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ และมีฤทธิ์แก้ท้องเสีย ได้แก่
1). ฟ้าทะลายโจร (400 mg/capsule) 2-4 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร และก่อนนอน
2). ขมิ้นชัน (400 mg/capsule) 2-4 แคปซูล วันละ 4 ครั้ง หลังอาหาร และก่อนนอน
ฟ้าทะลายโจร

ชื่อวิทยาศาสตร์ Andrographic paniculata Wall. Ex Nees
วงศ์ Acanthaceae
ส่วนที่ใช้ ใบ และ/หรือลำต้น
สารสำคัญและฤทธิ์ต้านจุลชีพที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย
ในใบและ/หรือลำต้นของฟ้าทะลายโจร มีสาร-สำคัญกลุ่มเทอร์ปีน ได้แก่ androgra-pholide, deoxy-andrographolide และ neoandro-grapholide เมื่อทดสอบฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียของสารสำคัญเหล่านี้ พบว่า สามารถยับยั้ง B. subtilis, Salmonella group A, endotoxin จากเชื้อ E.coli, S. dysenterae, V.cholerae และ S. aureus
การใช้ฟ้าทะลายโจรรักษาอาการท้องเสีย
นำใบฟ้าทะลายโจรสดตากแห้งในร่ม บดเป็นผงละเอียด นำมาปั้นเป็นยาลูกกลอน ขนาดปลายนิ้วก้อย ผึ่งลมให้แห้ง รับประทาน 3-6 เม็ด วันละ4 ครั้ง 3 เวลา หลังอาหารและก่อนนอน หรือใช้แคปซูลของผงใบฟ้าทะลายโจรขนาด 250 มิลลิกรัม จำนวน 2 แคปซูล รับประทาน 4 ครั้งต่อวัน
การทดลองทางคลินิก
การทดลองรักษาอาการท้องเสียในผู้ป่วยอุจจาระร่วงเฉียบพลันและบิดแบคทีเรีย (Shigella sp.) จำนวน 200 ราย โดยให้กินผงฟ้าทะลายโจรบรรจุแคปซูล ขนาด 250 มิลลิกรัม แบ่งกินเป็น 2 ขนาด คือ 500 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง นาน 3 วัน และขนาด 1 กรัม ทุก 12 ชั่วโมง นาน 2 วัน เปรียบเทียบกับยา tetracycline โดยสามารถลดระยะเวลานอนโรงพยาบาล ปริมาณน้ำเกลือที่ให้ทดแทน และปริมาณอุจจาระเหลวทัง้จำนวนครั้งและระยะเวลาที่ถ่ายได้ทั้ง 2 ขนาด โดยที่ขนาด 1 กรัม ให้ผลดีกว่าขนาด 500 มิลลิกรัม อย่างไรก็ดีเมื่อเปรียบเทียบผลต่อเชื้ออหิวาตกโรคที่พบในอุจจาระผู้ป่วย พบว่าฟ้าทะลายโจรจะลดจำนวนเชื้ออหิวาตกโรคได้ไม่ดีเท่ากับ tetracycline แต่ลดจำนวนเชื้อบิดแบคทีเรียได้ดีกว่า
การศึกษาความเป็นพิษ
ให้หนูกินผงใบแห้งขนาด 3 กรัมต่อกิโลกรัม ไม่พบหนูตาย และเมื่อให้หนูกินผงยาขนาด 400 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม นาน 24 สัปดาห์ ไม่พบความผิดปกติใด

ขมิ้นชัน
คนไทยรู้จักใช้ขมิ้นชันปรุงอาหารและแต่งสีมานานแล้ว ขมิ้นชันมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Curcuma longa L. เป็นพืชวงศ์เดียวกับขิง (Zingiberaceae) ขมิ้นชันเป็นไม้ล้มลุก อายุหลายปี มีเหง้าใต้ดิน เนื้อในเหง้าสีเหลืองส้มมีกลิ่นเฉพาะตัว ตำรายาไทยใช้เหง้าสดฝนกับน้ำทารักษาโรคผิวหนังผื่นคัน หรือรับประทานรักษาอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ ท้องเสีย สารสำคัญมี 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่เป็นสารให้สีคือ Curcuminoids น้ำมันหอมระเหยที่ประกอบด้วยสารประกอบ monoterpenoids และ sesquiterpenoids เช่น turmerone ตามข้อกำหนดของ Commission E monograph วัตถุดิบขมิ้นชันสำหรับผลิตยาต้องมีปริมาณ Curcuminoids และน้ำมันหอมระเหยไม่ต่ำกว่าร้อยละ 3
สารสำคัญและฤทธิ์ต้านจุลชีพที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย
น้ำมันหอมระเหยของขมิ้นชันมีฤทธิ์ฆ่าแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย รวมทั้งที่เห็นสาเหตุของการแน่น หรือจุกเสียด ความเข้มข้นของน้ำมันหอมระเหยมีผลต่อฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแตกต่างกันออกไป โดยสามารถยับยั้งเชื้อ E.coli, S.patratyphi, S. thyphosa และ S. aureus
การใช้ขมิ้นชันรักษาอาการท้องเสีย
ใช้ผงขมิ้นชันผสมน้ำผึ้งปั้นเป็นยาลูกกลอนรับประทานหลังอาหารและก่อนนอนครั้งละ 3-5 เม็ด วันละ 3 เวลา
ฤทธิ์รักษาอาการอุจจาระร่วง
มีรายงานจากอินโดนีเซียพบว่าขมิ้นชันสามารถใช้รักษาอาการท้องเสียได้
การศึกษาความเป็นพิษ
การทดสอบความเป็นพิษในหนูขาว พบว่าทั้งขมิ้นชันและ Curcumin ในขนาดที่สูงกว่าที่ใช้ในคน 1.25-125 เท่า ไม่มีผลต่อการเปลี่ยนในด้านการเจริญเติบโต และระดับสารเคมีในเลือด การทดสอบพิษเฉียบพลันพบว่าไม่เกิดในหนูขาว หนูตะเภา และลิง การทดลองในคนทั้งชายและหญิง ให้รับประทานขมิ้นชันวันละ 2.2 กรัม ไม่ทำให้เกิดอาการพิษ
***ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้ฟ้าทะลายโจรร่วมกับขมิ้นชัน ควรใช้แค่ตัวใดตัวหนึ่ง เพราะฟ้าทะลายโจรเป็นยาเย็น แต่ขมิ้นชันเป็นยาร้อน อาจทำให้ลดประสิทธิภาพของยาซึ่งกันและกัน
เอกสารอ้างอิง
ธานี เมฆะสุวรรณดิษฐ์, ปรีชา มนทกานติกุล, จุฑามณี สุทธิสีสังข์, สุรเกียรติ อาชานุภาพ. ตำราเภสัชบำบัด. กรุงเทพฯ; โฮลิสติก พับบิชชิ่ง, 2546. หน้า 385-386.



วันอังคารที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2553

โรคเบาหวาน


เบาหวาน เป็นภาวะที่มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ทำให้น้ำตาลที่ร่างกายดูดซึมมาจากทางเดินอาหารเกิดอาการคั่งค้างจนล้นออกมาทางปัสสาวะ อาหารที่รับประทานเข้าไปส่วนใหญ่จะเปลี่ยนเป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน เซลล์ในตับอ่อนชื่อเบต้าเซลล์เป็นตัวสร้างอินซูลิน อินซูลินเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าเซลล์ การขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพของอินซูลินลดลงเนื่องจากภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้น้ำตาลในเลือดสูงขึ้นอยู่เป็นเวลานานจะเกิดโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท

อาการ...ของผู้ที่เป็นเบาหวาน



ชนิดของโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานชนิดที่ 1 พบประมาณ 5% มักเกิดในเด็กจนถึงวัยรุ่น เกิดจากตับอ่อนไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เพียงพอ ต้องใช้ฉีดอินซูลินทุกวัน
โรคเบาหวานชนิดที่ 2 พบประมาณ 95% มักเกิดในผู้ใหญ่จนถึงสูงอายุ การทำงานของอินซูลินไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร ต้องใช้การลดน้ำหนัก ควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย ร่วมกับการรักษาด้วยยาเบาหวานชนิดกินหรือฉีด

ระดับน้ำตาลในกระแสเลือด


โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากเบาหวาน

แบ่งออกออกเป็น 2 แบบ ได้แก่
โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากเบาหวานแบบที่ 1. แบบฉุกเฉิน
ได้แก่ ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ , ภาวะช๊อกจากน้ำตาลในเลือดสูง และภาวะเป็นกรดในเลือด ซึ่งเป็นภาวะที่ผู้ป่วยและญาติต้องทราบสาเหตุ อาการและการแก้ไขเบื้องต้น เนื่องจากหากไม่ได้รับการแก้ไขให้ทันเวลาอาจจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตก่อนเวลาอันควร
โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากเบาหวานแบบที่ 2. แบบโรคแทรกซ้อนในระยะยาว
เป็นโรคแทรกซ้อนที่เกิดจากการเป็นโรคเบาหวานเป็นระยะเวลานานหลายปี เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดแข็ง โดยภาวะที่พบบ่อยๆ คือ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคไต โรคตา โรคปลายประสาทอักเสบ โรคเบาหวานกับเท้า เป็นต้น
ภาวะฉุกเฉินของโรคเบาหวาน

1.ภาวะฉุกเฉินเลือดเป็นกรด
2.ภาวะฉุกเฉินน้ำตาลในเลือดสูง
3.ภาวะฉุกเฉินน้ำตาลในเลือดต่ำ



1. ภาวะฉุกเฉินเลือดเป็นกรดจากโรคเบาหวาน

เป็นภาวะฉุกเฉินที่พบบ่อย โดยเฉพาะในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่หนึ่ง เกิดจากการเสียสมดุลของอินซูลิน ซึ่งอาจจะขาดหรือน้อยไป กับฮอร์โมนต้านฤทธิ์อินซูลิน สูงขึ้นทำให้ผู้ป่วยมีระดับน้ำตาลสูง และมีกรดในเลือด ซึ่งเกิดจากการคั่งของคีโตนในเลือด ซึ่งคีโตนนี้เป็นกรด จะตรวจพบในปัสสาวะหากว่าอินซูลินไม่พอ หรือคุมเบาหวานไม่ดี

สาเหตุ



เกิดจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลกลูโคสเป็นพลังงานได้ จึงนำไขมันมามาใช้แทนเกิดเป็นสารคีโตน ซึ่งการพบคีโตนในเลือดแสดงว่า




1.อินซูลินไม่พอ อาจจะเกิดจากลืมฉีด หรือภาวะที่ต้องการอินซูลินเพิ่ม เช่นเวลาเจ็บป่วย เมื่ออินซูลินไม่พอร่างกายจึงเผาไขมันเป็นพลังงาน




2.ได้อาหารไม่พอ เช่นเวลาเจ็บป่วยรับประทานอาหารไม่พอ




3.ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำเกินไป ร่างกายก็เผาไขมันมาใช้เป็นพลังงาน

ปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดโรคนี้




§ โรคหลอดเลือดสมอง
§ ตับอ่อนอักเสบ
§ เส้นเลือดหัวใจตีบ
§ สุรา
§ ยาบางชนิด
ยนิด




อาการ

  • คลื่นไส้ อาเจียนมาก
  • ปวดท้อง
  • คอแห้ง
  • กระหายน้ำ
  • ปัสสาวะมาก
  • ลมหายใจมีกลิ่นหวานของอะซีโตน และคีโตน
  • หายใจหอบลึก ตรวจพบคีโตนในปัสสาวะ

การป้องกัน
  • ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ทั้งการควบคุมอาหารการฉีดอินซูลิน และการออกกำลังกาย
    ไม่ควรออกกำลังกายหากน้ำตาลในเลือดสูงเกิน 240 มก. %
  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ ตรวจหาสารคีโตนในเลือดเมื่อน้ำตาลในปัสสาวะ4บวก
  • ห้ามหยุดอินซูลินเมื่อเวลาป่วย

การแก้ไข

  • การให้อินซูลินออกฤทธิ์ระยะสั้นเพิ่มขึ้นจากเดิม 5-10 ยูนิต ถ้าอีก 4 ชั่วโมงต่อมายังตรวจพบคีโตนอีกให้ฉีดซ้ำได้อีก
  • การให้ดื่มน้ำมากๆ

  • การให้เกลือแร่ และให้ด่างเมื่อมีความจำเป็น

การรักษาหรือขจัดสิ่งชักจูง

ยารักษาโรคเบาหวาน

แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ ยาเบาหวานชนิดรับประทาน และ ยาเบาหวานชนิดฉีด

ยาเบาหวานชนิดรับประทาน

ยาที่ใช้ในเบาหวานปัจจุบัน แบ่งออกเป็น 4 พวก

1. ยาที่ออกฤทธิ์กระตุ้นตับอ่อนให้สร้างฮอร์โมนอินซูลินเพื่อลดน้ำตาลในเลือด